การศึกษาด้านธรณีแปรสัณฐาน
เป็นที่สังเกตของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโลกนับเป็นร้อยปีมาแล้วถึงลักษณะของผิวโลกที่มีความสูงต่ำแตกต่างกัน
บางแห่งเกิดเป็นเทือกเขาสูงทอดตัวยาวเหยียด
กลางทวีปบางแห่งจะเป็นที่ราบลอนคลื่นกว้างใหญ่มีเพียงเขาลูกโดด ๆ บ้าง
บางแห่งเป็นที่ราบไหล่ทวีปใกล้ชายฝั่งทะเลต่อเข้าบริเวณน้ำตื้นแล้วก็ลดระดับลงอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่บริเวณของพื้นมหาสมุทร
ที่พื้นมหาสมุทรเองก็มีทั้งเกาะแก่ง เทือกเขา และร่องลึก
ดังนั้นจึงมีความพยายามอธิบายลักษณะแปลกประหลาดไม่ราบเรียบของผิวโลกนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร
เช่นในอดีตได้มีการกล่าวถึงการที่โลกหดตัวลง
เนื่องจากการสูญเสียความร้อนออกไป
การหดตัวเกิดขึ้นไม่เท่ากันตามบริเวณต่างๆ
การหดตัวมากเกิดขึ้นที่บริเวณใดก็จะทำให้บริเวณนั้นยุบลงไปอยู่ต่ำ
บริเวณที่หดตัวน้อยกว่าก็จะคงอยู่ในระดับที่วางตัวสูงกว่าจึงเกิดเป็นภูเขาสูง
แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีข้อโต้แย้งถึงลักษณะของการขยายตัวของผิวโลกออกจนทำให้เกิดเป็นแนวร่องหุบเขา
(Rift Zones)
ขึ้น
และตลอดเวลายังมีผู้ค้นพบข้อมูลทางธรณีวิทยาเพิ่มมากขึ้นอีก เช่น
การค้นพบร่องรอยบันทึกของสนามแม่เหล็กโลกบรรพกาลในหินอายุเก่า
การค้นพบทางด้านศิลาวรรณนาและซากดึกดำบรรพ์แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของมวลวัสดุธรณีวิทยาตามกาลเวลา
ทฤษฎีว่าด้วยกลไกของการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก โดยมีหลักฐานประกอบบ่งชี้ชัดเจน
เหล่านี้จึงทำให้เกิดเป็นทฤษฎีด้านธรณีแปรสัณฐานที่ค่อยพัฒนามาจนถึงทฤษฎีที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบันนี้
ทฤษฎีทวีปเลื่อน
(Continental Drift)
ได้มีผู้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับลักษณะของชายฝั่งทะเลที่น่าจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใด
อย่างหนึ่งไว้นานหลายร้อยปีแล้ว
อาทิ
Francis Bacon
ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในปี ค.ศ.
1620
ถึงการที่สองฟากมหาสมุทรแอตแลนติกมีลักษณะสอดคล้องกันอย่างยิ่ง
ต่อมาในปี
1668 P. Placet
จึงพยายามอธิบายว่าสองฟาก มหาสมุทรแอตแลนติกน่าจะเชื่อมกันมาก่อน
แต่ยังไม่มีผู้ใดมีหลักฐานข้อมูลใดสนับสนุนนอกจากอาศัยลักษณะคล้ายคลึงสอดคล้องกันของชายฝั่งมหาสมุทรเท่านั้น
ในปี 1858
Antonio Snider
ได้อาศัยข้อมูลชั้นหินยุคคาร์บอนิเฟอรัสในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือมาเทียบสัมพันธ์กันจึงต่อแผ่นดินเหล่านี้เข้าเป็นผืนเดียวกัน
แล้วให้แผ่นดินค่อยแยกออกจากกันในภายหลัง
ในปี
1908 Frank B. Taylor
ได้อธิบายปรากฏการณ์ของการที่มหาทวีป
2
แห่ง
ซึ่งเคยวางตัวอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือและใต้แตกแยกออกเป็นทวีปขนาดเล็กกว่าและเคลื่อนที่มาทางเส้นศูนย์สูตร
นั่นคือมหาทวีปลอเรเซีย
(Laurasia)
ซึ่งอยู่ทางเหนือและมหาทวีปกอนด์วานา
(Gondwanaland)
ซึ่งอยู่ทางใต้ โดยเป็นการเคลื่อนที่เฉพาะของเปลือกโลกไซอัล และผลักดันตะกอนทำให้เกิดแนวเทือกเขาทางด้านหน้าที่ทวีปเคลื่อนที่ไปประกอบกับร่องรอยการแตกแยกของทวีปทางด้านหลัง
สำหรับแรงที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของทวีปนั้นอธิบายว่ามาจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ซึ่งเข้ามาอยู่ใกล้ชิดโลกมากในยุคครีเทเชียส
ต่อมาในปี
1910 Alfred Wegener
ได้สร้างแผนที่มหาทวีปใหม่เพียงแห่งเดียว โดยอาศัยรูปร่างแผนที่ของ
Snider
และตั้งชื่อว่ามหาทวีปพันเจีย ล้อมรอบอยู่ด้วยมหาสมุทรพันธาลาสซา
(Panthalassa)
แล้วจึงแตกออกและเคลื่อนที่ไปอยู่ ณ ตำแหน่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ขณะเคลื่อนที่ก็เกิดเทือกเขาด้านหน้า
การแตกแยกด้านหลังเหมือนคำอธิบายของ
Taylor
นอกจากนี้ยังอธิบายว่ารอยชิ้นทวีปที่ขาดหล่นปรากฏเป็นเกาะแก่ง
หรือรอยฉีกที่พบเป็นร่องลึกยังปรากฏอยู่บนพื้นมหาสมุทร เป็นต้น
ขณะเดียวกับที่มีการแทรกดันขึ้นมาของเปลือกโลกไซมา
ที่มีมวลตั้งต้นมาจากชั้นเนื้อโลก สำหรับแรงกระทำ
กำหนดให้มาจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
รวมกับแรงดึงดูดเนื่องจากแรงโน้มถ่วงภายในโลกประกอบกัน
ทฤษฎีแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่
(Plate Tectonics)
การศึกษาสภาพธรณีวิทยาของพื้นผิวโลกทำให้ยืนยันได้ว่าผิวโลกต่อเนื่องลงไปถึงด้านล่าง
ได้เกิดมีการเคลื่อนที่จริงๆ การเคลื่อนที่มีทั้งไปทางด้านข้างและขึ้นลงตามแนวดิ่ง
แต่การแปรเปลี่ยนของผิวโลกตามทฤษฎีการแยกตัวของทวีปก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มากโดยมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและผู้ที่คัดค้าน
ขณะเดียวกันก็มีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างของโลกมากขึ้นอีก
จุดหักเหของทฤษฎีเกี่ยวกับธรณีแปรสัณฐานเกิดขึ้นในช่วงประมาณ ค.ศ.
1960
เมื่อมีผู้นำเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการแยกตัวของพื้นมหาสมุทร
(Seafloor spreading)
เช่น
B.C. Heezen,
H.H. Hess
และ
R.S. Dietz
เป็นต้น
โดยทฤษฎีนี้มีใจความสำคัญมาจากการแยกตัวที่พื้นมหาสมุทรออกจากกันเป็นแนวยาวโดยมีวัสดุจากใต้ชั้นเปลือกโลกแทรกขึ้นมา
เย็นตัวแข็งเกิดเป็นพื้นมหาสมุทรใหม่แล้วก็แยกจากกันออกไปอีกเรื่อย ๆ
ในทิศทางตั้งฉากกับรอยแยกนี้
วัสดุที่แทรกขึ้นมานี้ทำให้เกิดเป็นโครงสร้างเทือกเขากลางสมุทร
(Mid-Oceanic Ridge)
การเคลื่อนที่ออกจากกันของพื้นมหาสมุทรถูกนำไปสัมพันธ์กับลักษณะของเปลือกโลกบริเวณร่องลึกที่พื้นมหาสมุทร
(Trench)
แนวภูเขาไฟรูปโค้ง
(Volcanic arcs)
และเทือกเขาสูงใกล้ขอบทวีปแล้วจึงทำให้เกิดเป็นแนวคิดต่อเนื่องว่าชั้นส่วนบนของโลกน่าจะมีลักษณะเป็นแผ่นประสานกัน
แผ่นนี้มีทั้งส่วนที่เป็นทวีปและพื้นมหาสมุทร
มีการเกิดขึ้นในบางส่วนของแผ่น
มีการเคลื่อนที่และถูกทำลายไปในอีกส่วนหนึ่ง
แผ่นเปลือกโลก
(Plate)
นี้ประกอบด้วยชั้นธรณีภาค
(Lithophere)
วางตัวอยู่บนชั้นฐานธรณีภาค
(Asthenophere)
ซึ่งภายในมีการเคลื่อนที่ของมวลเป็นกระแสหมุนวน
(Convection current)
ขึ้นลง กระแสนี้ช่วยพัดพาแผ่นเปลือกโลกให้เคลื่อนที่ไปขนานกับผิวโลก
สำหรับขอบของแผ่นเปลือกโลกมักจะแสดงด้วยแนวโครงสร้างสำคัญคือเทือกเขากลางสมุทร
ร่องลึกพื้นสมุทร และรอยเลื่อนเฉือนขนาดใหญ่
(Transform faults)
และมีปรากฏการณ์ประกอบคือแนวของกลุ่มแผ่นดินไหวยุคปัจจุบันรวมกับปรากฏการณ์อื่น
ได้แก่แนวเกาะภูเขาไฟหรือบริเวณแนวที่มีค่าความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามความลึกของโลกสูงมาก
จากแนวกำหนดนี้จึงทำให้
X. LePichon
ระบุในปี
1968
ว่าแผ่นเปลือกโลกมีอยู่
6
แผ่นใหญ่
แต่ในยุคต่อ ๆ
มาได้มีความพยายามกำหนดแผ่นเปลือกโลกเพิ่มขึ้นอีกโดยอาศัยจุดกำเนิดแผ่นดินไหวที่สามารถกำหนดเป็นแนวได้
รวมทั้งการเทียบเคียงลักษณะทางธรณีวิทยาโครงสร้างต่างๆ ดังที่กล่าวถึงแล้ว
ดังจะได้อธิบายรายละเอียดของโครงสร้างขนาดมหึมาต่าง ๆ ดังนี้
1.
แนวเทือกเขากลางสมุทร
(Mid-Oceanic Ridge)
มีลักษณะเป็นแนวเทือกเขาเตี้ยกว้างทอดยาวไปบนพื้นมหาสมุทรคล้ายกับเทือกเขา
สำคัญบนทวีป
เทือกเขากลางสมุทรที่สำคัญได้แก่
Mid-Atlantic Ridge
และ
East Pacific Rise
เป็นต้น
กลางเทือกเขามีลักษณะพิเศษคือมีร่องลึกเกิดจากรอยเลื่อนทอดตัวตลอดความยาวของเทือกเขา
ร่องนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับร่องหุบเขาที่ปรากฏอยู่บนแผ่นดินหลายแห่ง
เช่น ร่องหุบเขาทางด้านตะวันออกของทวีปอาฟริกา หรือร่องหุบเขาบริเวณแม่น้ำไรน์ในยุโรป
เป็นต้น
บนเทือกเขากลางสมุทรมีการทะลักตัวขึ้นมาของหินหลอมละลายที่ระบุได้ว่ามาจาก
ที่ลึกลงไปในชั้นเนื้อโลกทำให้เกิดเป็นหินอัคนีพุจำพวกบะซอลต์และอุลตราเม
ฟิก
หินอัคนีพุเหล่านี้แสดงหลักฐานเป็นแถบบันทึกสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นขณะ
ที่หินหลอมละลายกำลังเย็นตัว
แถบบันทึกนี้แสดงว่าสนามแม่เหล็กโลกได้เกิดการกลับขั้วไปมาตลอดเวลาด้วย
นอกจากนี้ยังพบว่าแถบบันทึกสนามแม่เหล็กโลกนี้ปรากฏอยู่บนหินที่ประกอบเป็นพื้นมหาสมุทรทั้งสองฟากของเทือกเขากลางสมุทรด้วย
และพบว่ายิ่งห่างออกไปจากแนวกลางของเทือกเขา
หินเริ่มมีอายุแก่ขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้นจึงอธิบายว่าหินเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่กลางเทือกเขาแล้วค่อยเคลื่อนที่ออกจากกันเรื่อย
ๆ ตามกาลเวลา
จากการคำนวณการเคลื่อนที่ทำให้กำหนดความเร็วของการแยกตัวได้ว่าอยู่ระหว่าง
1
ถึง
15
เซนติเมตรต่อปี
บริเวณเทือกเขากลางสมุทรใช้ระบุขอบของแผ่นเปลือกโลกในส่วนที่กำลังแยกตัวออก
จากกัน
2.
รอยเลื่อนระนาบด้านข้าง
(Transform Faults)
เป็นลักษณะของรอยเลื่อนแนวระดับ
(Strike-slip fault)
ซึ่งพบตัดแนวเทือกเขา
กลางสมุทรและทำให้แนวเทือกเขาเหลื่อมกันและจากข้อมูลแผ่นดินไหวพบว่า
แนวรอยเลื่อนนี้อยู่ลึกไม่เกิน
300
กิโลเมตร
รอยเลื่อนชนิดนี้ยังไม่รู้ถึงสาเหตุของการกำเนิดแต่สามารถใช้ระบุขอบของแผ่น
โลกบางส่วนรวมทั้งบอกถึงการเคลื่อนตัวเฉียดผ่านกันของแผ่นเปลือกโลกที่อยู่
ชิดกันด้วย
3.
ร่องลึกก้นสมุทร
(Trenches)
ร่องลึกนี้ถูกพบที่ใต้มหาสมุทรใกล้ขอบของทวีป บ่อยครั้งจะพบว่ามีแนวเกาะภูเขาไฟ
รูปโค้งประกอบอยู่ด้านหนึ่งของร่องลึก คือด้านที่อยู่ใกล้ขอบทวีป
หินภูเขาไฟที่เกิดขึ้นตามแนวเกาะภูเขาไฟนี้เป็นจำพวกหินแอนดีไซต์
ซึ่งแตกต่างไปจากหินอัคนีที่เกิดบริเวณเทือกเขากลางสมุทร
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหินบะซอลต์
นอกจากนี้บริเวณนี้ยังพบว่าเป็นบริเวณที่มีความร้อนพิภพสูงมากด้วย
ส่วนในบริเวณร่องลึกได้พบการเกิดแผ่นดินไหวมากมาย
เมื่อกำหนดตำแหน่งจุดกำเนิดแผ่นดินไหวได้ก็พบว่ามีลักษณะเอียงเทลงไปจากแนวร่องลึกลงไปถึงชั้นฐานธรณีภาค
ที่ประมาณความลึกถึง
700
กิโลเมตร
แนวแผ่นดินไหวเอียงเทนี้เรียกว่าเขตเบนนิออฟ
(Benioff zones)
จากการศึกษากลไกการเกิดแผ่นดินไหวที่พบในที่ลึกพบว่ามีแผ่นดินไหวจำนวนหนึ่งน่าจะเกิดจากรอยเลื่อนที่มีลักษณะสอดคล้องกับการเอียงของ
Benioff zone
โดยแสดงเป็นลักษณะของรอยเลื่อนย้อน
ดังนั้นจึงทำให้เกิดเป็นสมมติฐานว่าบริเวณนี้แผ่นเปลือกโลกกำลังมุดตัวเอียงลง
และถูกกลืนหายไปในชั้นฐานธรณีภาค
ขณะเดียวกันแนวเกาะภูเขาไฟและเขตความร้อนพิภพสูงก็อธิบายว่าได้เกิดการหลอมตัวของแผ่นเปลือกโลกในที่ลึกจนกลายเป็นมวลหินหลอมเหลว
ซึ่งมวลหินหลอมเหลวค่อยๆหาทางเคลื่อนที่ขึ้นข้างบนมาเย็นตัวเป็นมวลหินอัคนีทั้งหินอัคนีพุและหินอัคนีแทรกดัน
นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงที่ขอบของแผ่นเปลือกโลกด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง
สองด้านน่าจะเกิดการเข้าชนกันทำให้เกิดการคดโค้งโก่งงอพร้อมกับรอยเลื่อน
ย้อนมากมายจนทำให้วัสดุถูกยกตัวขึ้นเป็นแนวแคบยาวขนานไปตามแนวชนกันของขอบ
แผ่นเปลือกโลกนั่นคือการเกิดเป็นแนวเทือกเขานั่นเอง
มหาทวีปในกระบวนการธรณีแปรสัณฐาน
แม้แนวคิดตามทฤษฎีเพลทเทคโทนิกส์จะเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางตลอดระยะ
เวลาที่ผ่านมา
แต่ยังพบว่าทฤษฎีนี้มีจุดจำกัดอยู่มากมายโดยเฉพาะการไม่สามารถอธิบายถึง
ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกจากแผ่นเปลือกโลกที่กำลังเกิดขึ้นและทำลายไป
เมื่ออายุตามธรณีวิทยาประวัติเก่ากว่า
200
ล้านปีมาแล้ว
โดยเฉพาะยังไม่มีการยืนยันการพบเห็นแผ่นเปลือกโลกส่วนที่เป็นพื้นมหาสมุทรอายุเก่าแก่
ขณะที่มีเพียงข้อมูลของเปลือกโลกส่วนที่เป็นทวีปซี่งมีอายุย้อนหลังไปได้ถึงหลายพันล้านปี
เมื่อพิจารณาดูข้อมูลเหล่านี้ก็สามารถระบุได้ถึงการเคยอยู่ร่วมกันแล้วแยกออกจากกันของส่วนต่างๆที่เป็นทวีป
รวมทั้งลักษณะของการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนเหล่านี้ที่มีทั้งเป็นแนวตรง แนวโค้ง
ตลอดจนการหมุนวน
ดังนั้นจึงทำให้ทฤษฎีของการแยกตัวของทวีปยังไม่สูญหายหรือเสื่อมความนิยมไปอย่างสิ้นเชิง
ตรงกันข้ามกลับมีความพยายามคิดถึงการมีอยู่ของมหาทวีป
การแตกตัว
การเคลื่อนที่และการเข้าชนกันหรือรวมกันโดยอาศัยปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงตามกระบวนการในแนวคิดของทฤษฎีเพลทเทคโทนิกส์
ตลอดเวลายังมีการค้นหาข้อมูลทางธรณีวิทยาเพิ่มเติมว่าแผ่นดินใดเคยเกาะติดอยู่กับแผ่นดินใดในช่วงเวลาใด
แยกออกจากกันเมื่อใด
เคลื่อนที่ไปในทิศทางใด
จึงมาเป็นแผ่นดินที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้
การศึกษาดังกล่าวจึงทำให้สร้างสมมติฐานเป็นปรากฏการณ์ธรณีวิทยาประวัติ
กล่าวคือการมีอยู่ของมหาทวีปโรดิเนีย
(Rodinia)
ซึ่งเป็นเพียงมหาทวีปโบราณแห่งเดียวในยุคก่อนแคมเบรียนคือเมื่อประมาณ
1.6
พันล้านปีมาแล้ว
มหาทวีปนี้แตกตัวออกก่อนยุคแคมเบรียนเล็กน้อย
เป็นชิ้นทวีปเล็กๆ หลายชิ้นเคลื่อนที่ไปชนและประกอบกันเข้าเป็นมหาทวีปกอนด์วานาแลนด์และลอเรเซีย(หรือแพงเกีย)
เมื่อประมาณ
500
ล้านปีมาแล้ว จากนั้นก็แตกตัวออกอีกเมื่อต้นยุคจูแรสซิก
(ประมาณ
200
ล้านปีมาแล้ว)ก่อนเคลื่อนที่เข้าชนประกอบกันอีกในยุคเทอร์เชียรี(ประมาณ
70
ล้านปีมาแล้ว)
เรื่อยมาจนกระทั่งเกิดเป็นรูปร่างของแผ่นดินในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามแม้แนวคิดของการแตกตัวของทวีปผสมกับทฤษฎีเพลทเทคโทนิกส์จะมีผู้ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ยังมีความไม่สมบูรณ์ในคำอธิบายเช่นกัน
รวมทั้งความพยายาม เพื่อจะอธิบายว่าก่อนจะมีมหาทวีปโรดิเนียนั้น
พื้นผิวโลกเคยมีลักษณะอยู่เช่นไร
จะมีมหาทวีปที่เก่าแก่กว่า
และแตกตัวออกเพื่อมาชนรวมกันเป็นมหาทวีปโรดิเนียได้อย่างไรหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น